ทำไมไดโนเสาร์สูญพันธุ์
ครั้นเมื่อช่วงปลายยุคครีเทเซียส
(CRETACEOUS) เมื่อประมาณ ๖๕
ล้านปีที่ล่วงมาแล้ว ไดโนเสาร์มีขนาดใหญ่จึงได้สูญพันธุ์ไปจนหมดโลก
หลังจากที่ไดโนเสาร์สูญสิ้นพันธุ์ไปจากโลกถึง ๖๐ ล้านปีแล้ว โลกจึงปรากฏต้นตระกูลของมนุษย์วานรขึ้นเมื่อ
๕ ล้านปี มนุษย์วานรนี้ได้วิวัฒนาการต่อเนื่องจนเป็นเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ในปัจจุบัน
ไดโนเสาร์มีขนาดเล็กนั้นได้วิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เลื้อยคลานในวงศ์สกุลต่าง
ๆ มากมาย ซึ่งมีการค้นคว้าและได้ไดโนเสาร์ชนิดใหม่
(สัตว์เลื้อยคลาน) อีก โดยกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่ต่าง
ๆ ทั่วโลกปัจจุบันได้มีการสำราจหาไดโนเสาร์นั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตจนทำให้มีการอ้างถึงการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำทะเล
สภาพภูมิอากาศ และการะเบิดจากนอกโลก (SUPEMOVE) และอื่นอีกมากมาย แต่ได้รับความสนใจและต่างมีเหตุผลที่พอรับฟังได้
คือ ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เนื่องจากการชนโลกของดาวเคราะห์น้อย (Asteroidimpact)ที่ทำให้เกิดระเบิดอย่างรุนแรงขึ้นจนฝุ่นละอองฟุ้งกระจายสู่บรรยากาศของโลกทำให้เกิดปรากฏการณ์ม่านมืดบดบังแสงอาทิตย์
จนเป็นผลทำให้เกิดความมืดมิดและควาหนาวเย็นอย่างฉับพลันอยู่เป็นเวลานานนับเดือนจนไดโนเสาร์นั้นไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกได้
ด้วยเหตุที่มีสภาพแวดล้อมที่รุนแรงดังกล่าว
1.หลักฐานที่นำมาอ้างข้อสรุปนี้คือ
การพบธาตุ อิริเดียม
(IRIDIUM) จำนวนมากกว่าปกติในชั้นดินบาง ๆ
(CLAY) ที่มีอายุอยู่ในช่วงลอยต่อระหว่างยุคครีเทเซียส
(CRETACEOUS)และ
(TERTIARY (K-T BOUNDARY)ในบริเวณต่าง ๆ
ของโลก นอกจากนี้ยังพบโครงสร้างที่เชื่อว่าโลกนั้นเคยเกิดจากการชนของดาวเคราะห์น้อยที่แหลมในประเทศเมกชิโก
เรียกว่า โครงสร้าง
CHICXULUB ATRUCTURE
2.ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เนื่องจากการระบิดของภูเขาไฟในบริเวณที่ราบสูงเดคาน
(DECCAN) ของ
ประเทศอินเดีย (DECCAN TRAPS
VOLCANISM) ซึ่งถือว่าเป็นการระเบิดที่รุนแรงที่สุดในช่วงอายุของการกำเนิดโลก
ด้วยเป็นการระเบิดที่รุนแรง อันเนื่องมาจาก
MANTLE PLUME และHOTSPOT ที่อยู่ใต้พื้นโลกจนทำให้เกิดลาวาชนิด
BASALTIC (BASALTIC LAVA) จำนวนมหาศาลดันเปลือกโลกขึ้นมาแล้วไหลลงมาคลุมพิ้นโลก
มีพื้นที่ถูกลาวาคลุมมากกว่า ๑
ล้านตารางไมล์ และมีความหนากว่า
๑ ไมล์ จนเกิด
MANTLE DEGASSING ทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ และไอน้ำ ถูกความร้อนจนระเหยขึ้นบนผิวโลกด้วยอัตราที่มากจนผิดปกติ
จนก่อให้เกิดชั้น GREENHOUSE GASES ในบรรยากาศกักเก็บความร้อน จากดวงอาทิตย์ไว้ที่ผิวของโลก
ทำให้ไม่มีการถ่ายเท จนอุณภูมิสูงขึ้น
อันเป็นผลให้วัฏจักของคาร์บอนไดออกไซด์ และออกซิเจนเปลี่ยนแปลงไป
จนนำมาสู่การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ ส่วนสาเหตุที่ไดโนเสาร์สูญพันธุ์นั้นสันนิษฐานว่า ไดโนเสาร์นั้นอาจจะสูญพันธุ์ไปจากสิ่งแวดล้อมบนโลกไม่เอื้ออำนวยการดำรงชีวิตอยู่
โดยเฉพาะ อาหารเป็นพิษ และเกิดภูเขาไฟระเบิดอย่างรุนแรงในทุกพื้นที่ทั่วโลกดังนั้นไดโนเสาร์จึงสูญพันธุ์ไปจากโลก
เนื่องจากเกิดมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงดังกล่าวขึ้นบนพื้นโลกในยุคเตอร์ติอารี
เมื่อประมาณ ๖๕-๒.๕ ล้านปีมาแล้วเมื่อพื้นผิวโลกเปลี่ยนแปลง ร่างของไดโนเสาร์จึงถูกทับถมไปกับดิน
ส่วนที่เป็นเนื้อหนังก็พุหลุดไปตามสภาพ จึงเหลืออยู่แต่ส่วนที่แข็ง
คือ
กระดูก และฟันที่ถูกหินดินโคลนทรายถูกทับถมอยู่นับล้านปีจนเป็นซากดึกดำบรรพ์ในชั้นดินของโลกที่เป็นโคลนทรายในยุคดึกดำบรรพ์นั้น
ได้ทับถมไดโนเสาร์แล้วอัดแน่นจนเป็นหินและผนึกแผ่นในชั้นหินธรรมชาติ
ดังนั้น เมื่อพื้นผิวโลกมีการปรากฏตัวตามธรรมชาติ
จึงมีการยกชั้นหินบางส่วนให้สูงขึ้น แล้วเกิดการกัดกร่อนทำลายชั้นหินจากความร้อนของดวงอาทิตย์
จากความเย็นของน้ำแข็ง ฝน และลม ในที่สุดได้ทำให้ชั้นที่มีซากดึกดำบรรพ์อยู่นั้นถูกดันขึ้นมาบนพื้นโลก
จนซากดึกดำบรรพ์นั้นปรากฏขึ้นในพื้นที่บางส่วนให้นักสำรวจโลกดึกดำบรรพ์และนักธรณีวิทยาได้ค้นพบและทำการศึกษาเรื่องนี้ขึ้น
การทับถมในครั้งนั้นได้เกิดอย่างรวดเร็วจนโคลนทรายพากันไหลเข้ากลบร่างของสัตว์ดึกดำบรรพ์
เช่น ไดโนเสาร์ให้ตายในทันที
โครงกระดูกก็จะปรากฏเรียงรายอยู่อุดมสมบูรณ์ในตำแหน่งที่ถูกโคลนทรายกลบ
แต่ถ้าหากการทับถมนั้นเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ คือ
โคลนทรายค่อย ๆ ไหลทำให้ไดโนเสาร์ไม่ตายในทันที
ก็จะมีการดิ้นรนก่อนตายทำให้โครงกระดูกมีโอกาสที่จะอยู่กระจัดกระจายแล้วยังไปปะปนไปกับโคลนหินดินทรายด้วย
ด้วยเหตุที่โคลนทรายนั้นมีแร่ธาตุต่าง ๆ เช่น แคลไซด์ เหล็กซัลไฟต์และซิลิก้า
เมื่อมีการทับถมบนร่างของไดโนเสาร์ก็จะซึมเข้าสู่เนื้อ
กระดูก แล้วเข้าไปอุดตันโพรงและช่องว่างที่มีอยู่
จนทำให้กระดูกนั้นแกร่งขึ้น จนสามารถรับน้ำหนักของหินดินทรายที่ทับถมกันต่อมาภายหลังได้ดี
เมื่อทับถมนานวันนับล้าน ๆ ปี เช่นนี้
ด้วยเหตุมีอาการของออกซิเจนซึ่งเป็นส่วนช่วยในการเติบโตของแบคทีเรียไม่สามารถเข้าไปถึงซากของไดโนเสาร์ได้
นานวันไดโนเสาร์ก็จะกลายเป็นสภาพจากกระดูกแข็งเป็นหินโดยธรรมชาติ
เป็นซากดึกดำบรรพ์ที่สามารถคงอยู่ในลักษณะเดิมให้ได้ศึกษา
เมื่อมีการค้นพบตำแหน่งของซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ
๖๕ ล้านปีนี้ สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงให้เป็นหินแข็งของไดโนเสาร์นั้นคือ ฟัน ซึ่งเป็นส่วนที่แข็งที่สุดจึงคงสภาพเดิมอยู่
สำหรับโครงกระดูกของไดดนเสาร์นั้น แม้ว่าจะมีแร่ธาตุบางชนิดเข้าไปกัดกร่อนทำลายกระดูกและทั้งลักษณะของกระดูกไว้เป็นโพรงก็ตาม
ได้มีการค้นพบว่าโพรงเหล่านี้ได้ทำหน้าที่เปรียบเสมือนแม่พิมพ์
ที่ทำให้เก็บร่องรอยอื่น ๆ ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
กล่าวคือ เมื่อมีแร่ธาตุอื่นเข้าไปอยู่ในโพรงนั้นก็ทำให้เกิดรอยรูปหล่อของรอยผิวหนัง
ที่ทำให้ได้ข้อมูลเรื่องผิวหนังของกระดูกไดโนเสาร์ด้วย
บางแห่งพบว่าซากดึกดำบรรพ์เหล่านี้เคยถูกน้ำพัดพามาทับถมอยู่ด้วยกันจนกลายเป็นชั้นสะสมของกระดูกไดโนเสาร์การสำรวจได้มีการพบรอยเท้าของไดโนเสาร์อยู่บนพื้นหิน ซากดึกดำบรรพ์นี้เดิมเป็นดินโคลนที่มีร่องรอยเท้าของไดโนเสาร์
เมื่อมีการทับถมนานวันก็มีการรักษารอยเท้านั้นไว้ตามธรรมชาติของการอัดแน่นของดินหินทราย
ซึ่งทำให้เรียนรู้ถึงชนิดของไดโนเสาร์ ลักษณะของการเดินของสัตว์ขนาดใหญ่นี้ว่า
เดิน ๒ ขา
เดิน ๔ ขา
ด้วยอาการเชื่องช้าหรือว่องไว อยู่เป็นกลุ่มหรืออยู่ตัวเดียวนอกจากนี้
บางแห่งยังมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของไดโนเสาร์ ในส่วนอื่น
ๆ เช่น มูลที่ถ่ายทิ้งเรียก คอบโปร์ไลท์ ที่ทำให้รู้ถึงขนาดและลักษณะของลำไส้
ไข่ที่ทำให้ไดโนเสาร์ออกลูกเป็นไข่ บางครั้งพบตัวอ่อนอยู่ในไข่ทำให้รู้ว่าเป็นไข่ของไดโนเสาร์ชนิดใด
บางแห่งพบโครงกระดูกอยู่ในลักษณะกำลังกกไข่อยู่ในรัง จึงได้รู้ว่าไดโนเสาร์บางชนิดมี การดูแลและการฟักไข่ด้วยตัวเอง
ไดโนเสาร์เป็นสัตว์บกที่มีชีวิตอยู่ในโลกดึกดำบรรพ์เมื่อประมาณ ๒๔๕ – ๖๕ ล้านปีมาแล้ว
คือ ช่วงยุคตรีเอซิค (TRIASSIC) ถึงยุคครีเทเซียส
(CRETACEOUS) ดังนั้น ซากดึกดำบรรพ์จึงพบอยู่ในชั้นหินตระกอนที่สะสมบนพื้นดินในช่วงยุคตรีเอซิค
(TRIASSIC) ถึงยุคครีเทเซียส (CRETACEOUS)
วึ่งเป็นชั้นหินในยุคเมโสโซอิก (MESOZOIC)
ดังนั้น การสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์จากการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่างรุนแรง
ทำให้เปลือกโลกปกคลุมรักษาซากดึกดำบรรพ์ให้ศึกษาข้อมูลในปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น